top of page

บทเรียนเพื่อความปลอดภัย ภัยน้ำท่วม…หายนะมาเยือนอีกแล้ว !!!

บทความโดย ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์

ch2.jpg

     ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา พลันที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนเรื่องฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน –น้ำป่าไหลหลาก ชาวบ้านชาวเมืองอย่างเราๆก็ได้แต่อกสั่น-ขวัญผวา ยิ่งระบุมาว่าน้ำจะท่วมหลายจังหวัด ทั้งภาคเหนือ – ภาคอีสาน และ ภาคกลาง ก็ยิ่งทั้งกลุ้มทั้งเครียด ...เอาอีกแล้ว...คราวนี้ บ้านเรือนจะเสียหาย พืชสวนไร่นาจะล่มจมไปอีกเท่าไหร่  ผู้คนจะเจ็บไข้กันขนาดไหน...
     ทุกๆท่านก็จะจำกันได้ว่า...ปลายปี 48 ชนต้นปี49 พี่น้องชาวใต้น้ำตายังไม่ทันเหือดแห้งจาก อุทกภัยน้ำท่วมโคลนถล่ม ที่ว่ากันว่าหนักที่สุดในรอบ50ปี พอย่างเข้าเดือน5 พายุดีเปรสชั่นก็เล่นงานพี่น้องชาวเหนือ ถึงกับต้องสูญเสียชีวิตกว่า 50คน และ สูญหายถึง เกือบ 90 คน
     ทั้งๆที่รู้กันอยู่ว่าป่าไม้นั้นเป็นแหล่งดูดซับเก็บกักน้ำ และรักษาระบบนิเวศวิทยา แต่40 ปี ที่ผ่านมาป่าไม้เมืองไทยเราลดลงไปถึง 67 ล้านไร่ (ปัจจุบันมี 104ล้านไร่) แม้ว่าเราจะมีนโยบายปิดป่า และยกเลิกสัมปทานตัดไม้มาแล้ว 17ปี
     แต่ป่าไม้ก็ยังวายวอดลงทุกขณะ   ในเมื่อประชาชนตัวเล็กๆอย่างเรา นอกจากจะสาปแช่งพวกตัดไม้ทำลายป่าแล้ว ก็คงไม่มีปัญญาไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้ จึงได้แต่ดูแลนป้องกันลูกๆหลานๆให้อยู่รอดปลอดภัยทั้งจากน้ำมือของธรรมชาติและจากคนด้วยกัน...

ก่อนน้ำท่วม.....
1)  เมื่อย่างเข้าหน้าฝน  เห็นทีรายการพยากรณ์อากาศทั้งจากทีวี และวิทยุคงต้อง เปิดดูเปิดฟังกันบ่อยๆ  ยิ่งกรมอุตุนิยมวิทยาที่นอกจากให้ข้อมูลความแปรปรวนของอากาศแล้ว ยังแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายให้ผู้คนในพื้นที่เสี่ยง ให้อพยพขนย้ายกันไปอยู่ในที่สูง( เช่น บนภูเขาหรืออาคารสูงๆ(ที่มั่นคงแข็งแรง) เนื่องจากน้ำป่ากำลังไหลหลากมาจากเบื้องบนภูเขาสูง

2)  ในขณะเดียวกันจากอุทกภัยครั้งล่าสุดที่ทำลายทรัพย์สินและคร่าชีวิตพี่น้องของเราไปอย่างมากมาย ทำให้หลายๆฝ่ายเรียกร้อง “ระบบเตือนภัย”เช่นเดียวกับกรณี “สึนามิ” และยิ่งเห็นความจำเป็นเมื่อดูจากสถิติ ที่บรรดาพายุร้ายที่เข้ามาลุยเละในไทยเราทุกปี ปีละ 1หรือ 2หนและแต่ละครั้งก็ได้สร้างความวินาศให้อย่างมหาศาล (ทั้งที่เมื่อ 30ปีก่อนมันเคยบุกเข้ามา 5ปีต่อ 1 ครั้งเท่านั้น)


3)  ส่วนทางด้านท้องถิ่นก็ควรใช้ “เสียงตามสาย”หรือวิทยุหมู่บ้าน ให้ข้อมูลและเตือนภัยน้ำท่วมกันโดยสม่ำเสมอ
ซึ่งนั้นก็จะต้องมีทั้งการเตรียมตัว เตรียมป้องกันเพื่อความปลอดภัย และเรื่องที่ไม่ควรจะละเลยหรือเห็นเป็นสื่งตลกขบขันก็คือ...
“การฝึกซ้อม-หนีน้ำท่วม”(ป้องกันภัยน้ำท่วม)  โดยผู้นำชุมชนควรได้รับการอบรมจากส่วนกลาง แล้วนำความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติมาถ่ายทอดแก่ทุกคนในชุมชนนั้นๆ

4)  เมื่อรู้แล้วว่าไม่แคล้วน้ำท่วมแน่ๆ ก็ควรทำใจแล้วเร่งรีบเตรียมหอบลูกจูงหลานให้ไป ในที่สูงเช่นกัน  ชาวชุมชนต้องร่วมกัน วางแผนเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆครับ แต่หากใครคิดว่าชั้นบน(ชั้นสองของบ้าน)นั้นพออาศัยได้ในยามวิกฤต ก็อย่าลืม...จูงเรือ เข้าบ้าน แล้วผูกไว้ให้ดี นั่นก็จะทำให้คุณอุ่นใจได้ว่า อย่างน้อยยามพายุฝนสงบลงคุณจะได้มี “เรือคู่ใจ”เอาไว้พาเด็กๆไปไหนต่อไหนกันได้


ในกรณีที่เจอกับพายุหรือน้ำท่วมใหญ่จนครอบครัวต้องพลัดพรากกัน ให้คุณนัดล่วงหน้ากับทุกคนในบ้านไว้เลยว่า
หากหลงกันเราจะนัดเจอกันที่ไหนจุดใดให้นัดกันให้ชัดเจน

5)  บรรดาเอกสารสำคัญประจำบ้าน เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน  สูติบัตร  ทะเบียนสมรส  ฯลฯ...ให้รวบรวมใส่แฟ้ม แล้ววางไว้ที่สูง (จะได้ไม่เปียกน้ำ หรือสูญหายเมื่อน้ำเข้าบ้าน) แล้วก็อย่าลืมติดตัวไปด้วยหากต้องอพยพกันจริงๆ)

6)  ผู้ที่เคยเจอเหตุการณ์ดังงกล่าวย่อมทราบดีว่า หากต้องโยกย้ายหนีน้ำท่วมจริงก็มักจะไม่ใช่แค่วัน-สองวัน  ดังนั้นจึงควรเตรียมอาหารสำรองไว้ราว4-5วัน(โดยเลือกพวกอาหารแห้ง-จะได้ไม่บูดเน่า อ้อ...แล้วก็อย่าลืมพกช้อนตักอาหารไปด้วย

7)  ยารักษาโรค  ก็คืออีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพกไปด้วยทั้งยาประจำตัว และยาสามัญประจำบ้าน ของจำเป็นอื่นๆ เช่น ผ้าห่มกันหนาว  เสื้อกันหนาว  เสื้อผ้า  เสื้อกันฝน  ผ้าอนามัย หรือขวดนม(ถ้าลูกยังเล็กๆ)  และหากพกมือถือก็อย่าลืมซื้อบัตรเติมเงินด้วยนะครับ

8)  เพื่อป้องกันไฟช๊อต ในยามที่น้ำเข้าบ้านก่อนจะอพยพโยกย้าย จะต้องสับสวิตซ์ไฟในบ้านให้เกลี้ยงด้วย

9)  เพื่อยื้อเวลาน้ำเข้าบ้านให้ช้าอีกหน่อย คุณจะได้เก็บของและเตรียมตัวทัน หรือกรณ๊ที่น้ำท่วมไม่มาก ก็อาจจะเตรียมถุงทรายตั้งเป็นกำแพงเตี้ยไว้รอบๆบ้าน ก็พอจะยืดเวลาได้

ระหว่างน้ำท่วม
1) เมื่อต้องหลบภัยน้ำท่วมด้วยการไปอยู่ในที่สูงเช่นบนเขาบนดอย ในสภาพเสื้อผ้าที่โดนฝนหรือฝ่าน้ำท่วม จนเปียกโชกเปียกชื้นนั้น ดูจะเสี่ยงต่ออาการหนาวสะท้าน ดังนั้น อย่าปล่อยให้ลูกๆและแม้คุณเองให้อยู่ในสภาพเช่นนั้น ให้รีบเปลี่ยนชุดแห้งๆทันที แต่หากใครมีอาการหนาวสะท้านเกิดขึ้น ต้องรีบให้ความอบอุ่นทันที และให้จิบเครื่องดื่มร้อนๆ แล้วดูแลให้ใกล้ชิดด้วย

2)  ในระหว่างที่น้ำยังท่วมหรือยังเจิ่งนองอบู่ จะต้องห้ามเด็กๆไม่ให้เล่นน้ำโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะเสี่ยงกับการติดเชื้อหรือโรคระบาดเนื่องจากน่ำท่วมขังแล้ว น้ำยังท่วมกลบท่อระบายน้ำ ท่อลอดรางระบายน้ำ หรือหลุมบ่อต่างๆที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ หรือแม้แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะใช้ให้เด็กๆเดินลุยน้ำไปซื้อของ เพราะอาจเกิดเหตุอันน่าสลดใจดังเช่นที่เกิดเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ 16 ก.ย.48 ที่พี่น้องสองศรี( เด็กชาย 9ขวบ เด็กหญิง 8ขวบ)ที่ต้องจมลงไปในหลุมขุดที่ลึกถึง 3เมตรกระทั่งเสียชีวิตทั้งคู่ ทั้งนี้เพราะสองพี่น้องคู่นี้ลุยน้ำท่วมออกไปซื้อไข่ไก่ให้คุณแม่ แล้วก็ต้องเจอความมหาชุ่ยของบริษัทรับเหมาที่ทำการขุดเพื่อสำรวจท่อน้ำประปา แล้วไม่ปิดหรือกลบหลุมที่ขุด 

หลังน้ำท่วม
1) สิ่งที่เป็นห่วงคือภาวะสุขภาพทั้งทางร่างกาย และจิตใจ  โดยเฉพาะเรื่องของโรคระบาดสารพัดชนิดที่มักพบบ่อยๆหลังภาวะน้ำท่วม เช่น โรคตาแดง  โรคผิวหนัง  บาดแผลเรื้อรัง  โรคท้องร่วง  และโรคฉี่หนู จึงควรหาความรู้ไว้แต่เนิ่นๆ  และหากมีอาการผิดปกติใดๆให้รีบไปพบแพทย์ได้เลยนะครับ

2) สิ่งที่น่าห่วงอีกเรื่องก็คือ ภาวะจิตใจของผู้ที่โดนมหันตภัยน้ำท่วมซึ่งล้วนแต่ต้องสูญเสียทรัพย์สินที่อยู่อาศัย หลายๆคนต้องสูญเสียต้องพลัดกรากจากคนที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ ดังนั้น...ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้ออาทรจากทั้งหน่วยงานของรัฐ ของเอกชน และของพี่น้องร่วมชาติ รวมทั้งผู้ที่ประสบภัยด้วยกันย่อมเป็นพลังแก่ชีวิต เพื่อให้พี่น้องของเรายืนหยัดสู้ต่อไป อย่างมีความหวังความสดใส และกำลังใจที่เต็มเปี่ยม.......
 

     สรุปบทเรียนสำหรับชุมชนเพื่อการดูแลเด็ก จากเหตุการตายในเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ในมหาอุทกภัยปี 2554 โดยศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก ฯ มหาอุทกภัย 2554 ที่ผ่านมา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุที่มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำท่วมรวม 813 ราย ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก ได้ทำการศึกษาการต่อด้วยวิธีการพิเคราะห์เหตุการตายในเด็กใน 15 จังหวัดได้แก่ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม
     พบว่ามีเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปีตายโดยมีเหตุการตายที่มีความสัมพันธ์กับจากภาวะน้ำท่วม รวม จำนวน 61 รายจากทั้งหมด 664 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.1
     โดยกลุ่มเด็กอายุต่างๆกันได้แก่ กลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปี กลุ่มอายุ 5-9 ปี กลุ่มอายุ 10-14 ปี
     มีจำนวนการตายที่เท่าๆกันคือร้อยละ 33 ในแต่ละกลุ่ม จังหวัดที่มีจำนวนเด็กตายมากที่สุด 5 จังหวัดแรกตามลำดับ ได้แก่ อยุธยา พิจิตร นครสวรรค์ สุพรรณบุรี และนนทบุรี รวม 5 จังหวัดนี้มีเด็กตายร้อยละ 67.3 (41ราย) เด็กที่ตายจากภาวะน้ำท่วมนี้ เป็นการตายจากการจมน้ำ 60 รายคิดเป็นร้อยละ 98 ของการตายในเด็กทั้งหมด และเป็นงูกัด 1 ราย ไม่มีการตายจากไฟฟ้าลัดวงจรในกลุ่มเด็ก แต่มีรายงานในผู้ใหญ่จำนวน 61รายจาก 664 ราย (9.1%)จังหวัดนนทบุรีและนครปฐมเป็นจังหวัดที่มีอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจรสูงสุด
     โดยนนทบุรีไฟฟ้าลัดวงจรเป็นสาเหตุการตายถึง ร้อยละ 35 ของการตายทั้งหมด (14 ราย ใน 40 ราย)
     ขณะที่นครปฐมมีรายงานถึงร้อยละ 30 (11รายใน 36 ราย)

ทำอย่างไร? ลูกๆหลานๆจึงจะปลอดภัยในมหาวิกฤตน้ำท่วม !
     เดือดร้อน เครียด เศร้า สูญเสีย เพลียกายเพลียใจกันถ้วนหน้าเมื่อแผ่นดินที่รักตกอยู่ในมหาวิกฤตน้ำท่วม หลายๆท่าน ถึงกับกล่าวว่าตั้งแต่ลืมตาดูโลก ไม่เคยเห็นมหันตภัยใดรุนแรงหายนะระบาดลุกลามมหาศาลขนาดนี้…
     ยิ่งนับวันก็ยิ่งรู้สึกได้ว่า พลังธรรมชาตินั้นแสนยิ่งใหญ่ไม่ว่ามนุษย์จะมีเทคโนโลยีที่สูงส่งเพียงใด ในยามที่ธรรมชาติเล่นงานก็มิอาจต้านทานได้เลย
 
     แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็คงไม่มีใครสนับสนุนให้มนุษย์ยอมจำนนไปซะทุกอย่าง โดยเฉพาะการป้องกันระมัดระวัง และแก้ไข ตามหลักการ “ปลอดภัยไว้ก่อน” ยิ่งน้ำท่วมอย่างมโหระทึกอย่างครั้งนี้ ก็ควรที่จะ “เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส”ได้เช่นกัน นั่นก็คือ การสอนให้เด็กๆได้เข้าใจในเรื่องของการระวังสารพัดภัยจากภาวะน้ำท่วม
 
ระวัง !…ภัยสัตว์ร้ายที่มากับน้ำท่วม
     จระเข้… เป็นที่ฮือฮาหวาดผวาอย่างที่สุด เมื่อชาวบ้านย่านน้ำท่วม ต้องเผชิญกับภัยไอ้เข้ ไล่มาตั้งแต่อุทัยธานี นครสวรรค์ ชัยนาท  สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี ล่าสุดก็มาถึงย่านบางบัวทอง ที่เดือดร้อนหนักหนาสาหัสอยู่แล้วยังต้องมาเผชิญกับภัยไอ้เข้ ที่คาดกันว่าหลุดลอยออกมาจากฟาร์มจระเข้ตามจังหวัดต่างๆนับร้อยตัว!นี่ยังดีที่มีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการมาไล่ล่าจระเข้ได้ทันท่วงทีก่อนที่มันจะไล่งับไล่สวาปามชาวบ้าน

 

     วิธีรับมือกับจระเข้ ก็คือ ควรเตรียมไม้ยาวๆ(หรือใช้ไม่พาย กรณีนั่งเรือพาย)เมื่อจะนั่งเรือหรือลงเดินลุยน้ำ เมื่อปะกับไอ้เข้ก็ให้ใช้ไม้ยาวๆหรือพายตีที่น้ำแรงๆหลายๆที ซึ่งจะทำให้จระเข้มันว่ายน้ำหนีไป ข้อสำคัญอย่าไปตีที่ตัวของมันอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นเท่ากับไปยั่วโมโหมัน โอกาสที่มันจะแว้งเข้ามาขย้ำจึงมีอยู่สูง และเนื่องจากไอ้เข้มันชอบออกมาหาเหยื่อตอนกลางคืน
ฉะนั้นจึงอย่าลงน้ำหรือนั่งเรือในเวลากลางคืนอย่างเด็ดขาด


     งู …บางท่านอาจลืมไปแล้วว่า ไม่ใช่งูทุกชนิดจะมีพิษ แม้แต่ใครถูกงูพิษกัดก็อาจจะไม่โดนพิษร้ายของมันเล่นงาน เพราะมันได้ไปกัดสัตว์อื่นมาก่อนแล้ว จนน้ำพิษของมันไม่เหลือหรอ หรือแม้แต่โดนมันฝังเขี้ยว และปล่อยน้ำพิษ
ก็ไม่ควรตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ควรตั้งสติให้ดี แล้วหาทางแก้ไขทันทีเพราะยังมีเวลาให้ราว 30นาที ก่อนที่เหยื่อของพิษงูจะเสียชีวิต  ไม่ใช้ไฟจี้แผล ไม่ดูดหรือกรีดแผล(อย่างที่เรามักเห็นในหนังบางเรื่อง) และไม่ต้องไปบิดขันชะเนาะในบริเวณที่ถูกกัด เพราะนั่นจะทำให้เนื้อเยื่อในบริ เวณนั้นขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง
     กระทั่งไม่ควรโป๊ะแผลด้วยน้ำแข็งหรือสมุนไพรสารพัด กินยาดองเหล้า หรือยากระตุ้นประสาทซึ่งนอกจากเสียเวลาในขณะอยู่ในภาวะวิกฤต วิธีการเหล่านี้ยังอาจเพิ่มการติดเชื้อทำให้กล้ามเนื้อตายได้


วิธีการที่ถูกต้องก็เพียงแค่  
1. ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง
2. ใช้ผ้า สายยาง หรือเชือก รัดแขนหรือขาบริเวณเหนือรอยเขี้ยวราว 2-4 นิ้วฟุต โดยรัดระหว่างหัวใจกับแผลที่งูกัด
การรัดนั้นก็ควรรัดให้แน่นพอที่จะหยุดการไหลเวียนของเลือดดำ โดยรัดแน่นสลับกับการคลายสายรัดทุกๆ 15นาที ช่วงที่คลายให้คลายนานครั้งละราว 30-60วินาที
3. เพื่อกันการแพร่กระจายของพิษงู จะต้องเคลื่อนไหวแขนขาส่วนที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุดไม่เดินไปมาแต่ให้นั่งรถหรือมีแคร่หาม แล้วนำไปสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

 

     แมงป่อง ตะขาบ …หากโดนเจ้าสัตว์ร้ายสองชนิดนี้ต่อยกัด ก่อนอื่นให้ล้างบาดแผลด้วยน้ำสบู่ และฟอกหลายๆครั้ง และล้างออกให้สะอาด แล้วลดอาการบวมแดงด้วยการทาครีมไตรแอมชิโนโลน ครีมเพร็ดนิโซโลน หรือแอมโมเนีย ลดอาการปวดด้วยยาพาราเซตตามอล และใช้น้ำแข็งประคบ แล้วอย่าลืมไปพบแพทย์ด้วยครับ เพื่อระวังภัยสัตว์มีพิษในช่วงน้ำท่วม ก็คือ ไม่เข้าไปในที่รก ไม่แช่น้ำนาน หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำก็ให้แต่งตัวอย่างมิดชิดโดยนุ่งกางเกงขายาว(ใส่กางเกงในด้วยนะครับ) แล้วใส่รองเท้ายางและหุ้มด้วยพลาสติกให้สูงขึ้นมาถึงปลายขากางเกงแล้วจัดการรัดปลายขากางเกงนั้นด้วยเชือกหรือยาง ซึ่งจะกันไม่ให้เจ้าสัตว์มีพิษเลื้อยเข้าไป แถมป้องกันโรคน้ำกัดเท้าด้วยครับน้ำท่วม…

ระวังภัย ไฟดูดไฟช้อต!
     น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ทุกครั้งที่เกิดภาวะน้ำท่วมมักจะเกิดกรณีที่ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่โดนไฟช๊อตไฟดูด
หลายๆรายถึงขั้นเสียชีวิต เช่นเดียวกับมหาวิกฤตในครั้งนี้ที่มีคนโดนไฟดูดตายรวดเดียวถึง  6 คน
ในบริเวณบ้านปริ่มน้ำของตนเอง ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทและเพื่อรับมือกับภัยน้ำท่วมไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กในครั้งต่อไป จึงมีคำแนะนำดังนี้ครับ
 
1. ให้รีบย้ายบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าไว้บนที่สูง หรือในจุดที่มั่นใจว่าจะไม่ท่วม
2. ประโยชน์ของการยกปลั๊กๆไฟให้สุงราว 1 -  1.30 เมตรนั้นนอกจากเพื่อป้องกันน้ำเข้าสู่ปลั๊ก ในกรณีน้ำท่วมสูงไม่เกินกว่าระดับข้างต้น  และยังป้องกันไม่ให้เจ้าตัวเล็กเดินเตาะแตะๆเอานิ้วหรือวัสดุแหลมๆมาแหย่รูปลั๊กไฟเล่น
3. วงจรไฟฟ้าใดไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ให้ตัดวงจรไฟฟ้านั้นด้วย
4. ในขณะที่กำลังยืนเหยียบน้ำแฉะๆ หรือยืนอยู่ในน้ำนั้น ห้ามเสียบปลั๊กเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด และจะต้องไม่เปิดสวิตซ์ด้วยนะครับ
5. การป้องกันภัยไฟดูดไฟช๊อตนั้นมิใช่คำนึงถึงเพียงก่อนที่น้ำจะท่วม หรือระหว่างน้ำท่วมเท่านั้น การดูแลความปลอดภัยหลังน้ำท่วมก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยเช่นกัน
6. เช็คดูด้วยครับว่า สวิตซ์และเต้ารับจะต้องแห้งเป็นปกติ ไม่เปียกชื้น หรือไม่มีน้ำขังอยู่
7. เมนสวิตซ์ และสายไฟฟ้าจะต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่หลุดลุ่ย ขาดแหว่งหรือเก่าเขรอะ
8. บรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย แม้มั่นใจว่ามิได้แช่น้ำ ก็จะต้องมีการตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าปลอดภัยแน่แท้

 

ระวัง !…โรคร้ายที่มากับน้ำท่วม
     นพ.ไพจิตร วราชิต ปลัดกระทวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลว่า ในภาวะน้ำท่วมนั้นให้ทุกคนพึงระวัง 9 โรคดังต่อไปนี้  คือโรคมือเท้าเปื่อย  โรคผิวหนัง  โรคอุจจาระร่วง  โรคหัด  โรคฉี่หนู  โรคตาแดง โรคมาเลเรีย  โรคทางเดินหายใจ (ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม)  และ โรคไข้เลือดออก ซึ่งโรคเหล่านี้มีโอกาสเสี่ยงที่จะลุกลามเป็นดรคระบาดได้
     สิ่งที่คุณหมอไพจิตรกล่าวย้ำด้วยความห่วงใยก็ คือ …จะต้องรับประทานอาหารที่ปรุงสุก หรืออาหารใหม่ๆร้อนๆ และดื่มน้ำสะอาดที่ ผ่านการต้ม การกรองมาอย่างถูกสุขอนามัย และจะปลอดภัยยิ่งขึ้น
     หากใช้ช้อนกลาง และล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร (กินร้อน  ช้อนกลาง  ล้างมือ)แม้จะน่าเห็นใจที่ในภาวการณ์เช่นนี้ การกระทำที่ว่าก็คงจะลำบากไม่น้อยครับ (สู้ ๆ นะครับทุกท่าน)

     นอกจากนี้ยังมี คุณหมอ นพ.กฤษดา ศิรามพุธ ผอ.ศุนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒนนานาชาติ ที่ได้ให้คำแนะนำว่า ภาวะน้ำท่วมมักมาพร้อมกับอาการป่วยดังต่อไปนี้
1. กระหม่อมบุ๋ม ตาโหล ปากแห้ง ซึม คืออาการของเด็กเล็กที่ขาดน้ำดื่มเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการข้างต้น จึงควรให้ดื่มนมชง หรือน้ำหวานชงผสมน้ำ แต่ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำผึ้งนะครับเพราะเด็กเล็กอาจท้องเสียหรือทำให้ขาดน้ำได้ท่วม   

2. มีผื่นน้ำเหลืองแฉะเรื้อรัง มักเกิดจากการแพ้เรื้อรังและกำเริบขึ้นในภาวะร่างกายอ่อนแอหรือติดเชื้อราที่มากับภาวะน้ำท่วม

3. คลื่นไส้ อาเจียนขั้นรุนแรง และซึม ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการอดนอน มีน้ำในหู หูติดเชื้อ อาหารเป็นพิษ

4. มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดเนื้อเมื่อยตัว แม้จะได้กินยา แต่พอสักพักก็เกิดอาการดังกล่าวขึ้นอีก ซึ่งอาจเกิดจากป่วยเป็นไข้เลือดออก ไข้ฉี่หนู ภาวะกรวยไตอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งจะต้องดุแลดูอาการอย่างใกล้ชิด
5. มีไข้ ไอ หอบ
6. ตาแดงเรื้อรัง ขี้ตาเขรอะ
7. ปวดท้องรุนแรง และมีไข้  
8. โดนสัตว์มีพากัดต่อย
9.เ หนื่อยหอบจนซี่โครงบุ๋ม ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หากมีอาการดังกล่าว จะต้องให้แพทย์รีบให้ออกซิเจน และให้การรักษาโดยด่วน

 

     มหันตอุทกภัยผ่านมา แล้วผ่านไป โดยทิ้งโรคภัยไว้ให้มนุษย์อีกสารพัด นั่นยังไม่นับความย่อยยับทางเศรษฐกิจ ความบอบช้ำทางจิตใจ และความหวาดผวาว่า…แล้วมันยังจะมาอีกหรือไม่???
 
     สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนเราจักกระทำได้นอกจากการเตรียมตัวเตรียมใจ อีกสิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการพร้อมรับมือกับวิกฤตต่างๆด้วยสติและสุขภาพที่แข็งแรง  ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง และ ด้วยสติที่สมบูรณ์
ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้า 1130
หน่วยแพทย์เคลื่อนที่   1669
หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669

© 2025 มูลนิธิสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก

bottom of page